วันนี้ บ้านและสวน ได้มีโอกาสสนทนากับมัณฑนากรมากฝีมือผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมานาน นั่นคือคุณเป้า -วิภาวดี พัฒนพงศ์พิบูล ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารบริษัท P49 Deesign and Associates และนายกสมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย (TIDA) ในปัจจุบัน โดยสิ่งที่ได้พูดคุยนั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่ภาพของวงการที่คุณเป้าได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงมาตลอด เรื่องของรางวัล TIDA Award ที่ได้กลับมาจัดอีกครั้งในรอบ 10 ปี ไปจนถึงเรื่องของผลกระทบจาก Covid-19 ที่มีต่อวงการมัณฑนากร รวมไปถึงบทบาทของ TIDA ว่าอะไรคือสิ่งที่สมาคมมัณฑนากรฯ ตั้งใจพัฒนา และผลักดันต่อไปในอนาคต
อ่าน : TIDA Awards 2019 13 รางวัล กับ 11 ผลงานออกแบบตกแต่งภายในที่ดีที่สุดของเมืองไทย
![]()
“สำหรับ TIDA Award ในอนาคต เราได้ขยายสาขารางวัลขึ้นมาเพิ่มเติม เพราะอยากให้ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ตาม อยากให้เขามีเป้าหมาย ได้รับการพูดถึงมากขึ้น มีรางวัลให้กับเขา ในทางกลับกัน พอประเภทของรางวัลมีเยอะขึ้น ความหลากหลายของงานที่จะเข้ามา และความน่าสนใจดี ๆ ย่อมมีมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน”
Q. อยากให้พี่เป้าช่วยเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของวงการมัณฑนากรที่มองเห็นจากสายตาของพี่ ว่ามีอะไรที่แตกต่างไปบ้างจากอดีตจนมาถึงปัจจุบัน?
คุณเป้า : “ถ้าให้ย้อนไปตั้งแต่เริ่มแรกเลยพี่ทำงานมากว่า 40 ปี แล้ว สมัยโน้นวงการแทบไม่มีใครเลยที่เป็นบริษัท Interior Design อย่างเดียว ส่วนมากก็เป็น Architect ที่มี Interior Design แล้วคนที่ใช้บริการส่วนมากก็เป็นคนที่มีสตางค์สักหน่อย ขณะที่เดี๋ยวนี้บริษัทที่เน้นทางด้าน Interior Design มีเยอะมาก อย่างตอนนั้นคนที่บุกเบิกก็จะมีคุณจรูญ อังศวานนท์ ซึ่งเขาแทบจะเป็นบริษัทแรก ๆ เลยที่เป็น Interior Design เพียว ๆ
![]()
“พอมาถึงสมัยนี้ก็เห็นได้ว่ามีบริษัทเยอะแยะเต็มไปหมดแล้ว คนทั่วไปก็เข้าใจมากขึ้นว่าการที่ใช้มัณฑนากรนั้น สามารถช่วย Add Value ให้กับเขา ได้ ไม่ว่าจะในฐานะบ้านอยู่อาศัย อย่าง บ้านจัดสรร บ้านตัวอย่างก็ใช้ มัณฑนากร ทำให้งานลงตัวสวยงาม หรือแม้แต่ธุรกิจอย่างร้านกาแฟเล็ก ๆ ก็มีบรรยากาศหน้าตาสวยงามกันทั้งนั้น เมื่อก่อนถ้าจะไปร้านอาหารที่โก้ ๆ หน่อยก็ต้องเข้าโรงแรม เดี๋ยวนี้ร้านที่แยกออกมาเรียกว่า Freestanding มีเต็มเมืองไปหมดเลย ส่วนนี้ทำให้วงการสนุกมาก ดีมาก ตกแต่งกันเท่ ๆ ทั้งนั้น นี่คือสิ่งที่เห็นได้ชัด ๆ เป็น Improvement ตรงนั้น
“คนเข้าใจมากขึ้นว่าร้านที่ทำการตกแต่งภายในสวย ๆ และลงตัว สามารถช่วย Add Value ให้กับสินค้าของเขาได้ เพราะฉะนั้นก็เลยเป็นตลาดที่ดีมากอันหนึ่ง คนตื่นตัวกันมาก รู้จักแล้ว เข้าใจแล้ว ขนาดที่ว่า โฮมสเตย์ ใครจะนึกว่าจะได้รับความนิยมขึ้น เพราะอะไรนะหรอ พี่ก็ถามตัวเองนะว่าเพราะอะไร น่าจะเพราะว่าในตอนนี้การเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศง่ายขึ้นกว่าเก่าเยอะ แต่ก่อนต้องเป็นคนมีสตางค์ ไป ๆ มา ๆ ก็ต้องมีความชำนาญ ไปยาก ต้องเก็บเงินทำงานนาน ๆ แต่เดี๋ยวนี้การท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายขึ้น อย่าง Bed and Breakfast ก็เป็นอะไรที่น่ารักไปหมด ไม่จำเป็นต้องอยู่โฮเทลที่ต้องอยู่บนตึก เป็น Chain ใหญ่ ๆ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ตัวเลือกมีเยอะแยะ อย่างในไทยเองก็ผุดขึ้นน่ารักเต็มไปหมด ไม่ต้องเป็นโฮเทลใหญ่ อยู่ต่างจังหวัดไม่กี่ห้องก็ทำได้ นั่นคือสิ่งที่เห็นในการเปลี่ยนแปลง และเห็นว่า Interior Design เริ่มมีบทบาทมากขึ้นตรงนั้น
“แต่อันหนึ่งที่ตกใจพอสมควรเวลาที่พี่ได้ไปสอนเด็ก ๆ ตามมหาวิทยาลัย พี่จะได้คุยกับเด็ก ๆ หรือคุยกับอาจารย์ หรือแม้กระทั่งคนในวงการออกแบบเอกก็ตามว่า เด็กที่จบคณะมัณฑนศิลป์ไปทำงานด้าน Interior Design โดยตรงจะมีแค่ 50/50 ที่อยู่ในแขนงนี้จริง ๆ นอกนั้นเขาไปทำร้านกาแฟ ไปออกแบบเสื้อ หรือขายเสื้อแทน พอออกไปเยอะ คนที่เป็น Souce ของการทำงานแขนงนี้ ก็เหมือนจะน้อยลงตามไป”
Q. นั่นคือในส่วนของบทบาทของ Interior Design ในสังคม แล้วถ้ามองในเรื่องของรูปแบบ หรือ Style ละครับ?
คุณเป้า : “อันนี้คือชัดมาก อย่างเมื่อก่อนถ้าพูดถึงอะไรที่หรู ๆ เมื่อ 20-30 ปี ก่อน ต้องออกไปในสไตล์ Classical ถึงจะเรียกว่า “หรู” แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว เผอิญพี่อาจยกตัวอย่างโรงแรมเยอะหน่อย เพราะเราอยู่ในวงการทำโรงแรมเยอะ เมื่อก่อนเจ้าของเดียวกันจะแบ่งเป็น 5 ดาว 4 ดาว 3 ดาวไล่ไป แต่เดี๋ยวนี้อาจเป็น 5 ดาว หมดเลยก็ได้ แต่คนละสไตล์เพราะเขารู้แล้วว่า ตลาดของคนที่ใช้ของเหล่านี้มีหลากหลาย แล้วเขาไม่ได้มุ่ง หรือเล็งไปที่กลุ่มลูกค้าแต่เฉพาะคนที่ชอบ Classical หรือ คนมีอายุ แต่เดี๋ยวนี้ความต้องการของคนมีหลากหลายและแตกต่างกัน อย่างคนอายุ 30 กับคนอายุ 60 ความชอบจะเป็นคนละสไตล์ เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นไลฟ์สไตล์ที่ต่างกันไป ตลาดมันหลากหลายมากขึ้น เพราะฉะนั้นแบรนด์ต่าง ๆ ที่ทำโฮเทลก็จะต้องเตรียมเก็บให้หมดทุกสไตล์ ตลาดมันเปลี่ยน สไตล์ก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เมื่อสังเกตดี ๆ การออกแบบในปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้งการทำงานและตลาดเองที่เริ่มปรับตัวเข้าสู่ความหลากหลายนั้น ความงามมีได้หลายรูปแบบ การออกแบบที่ตอบรับก็ต้องหลากหลายตามไปด้วยเช่นกัน”
Q. ในส่วนของพี่เป้าเอง จากเมื่อตอนที่เริ่มทำงานจนมาถึงทุกวันนี้ มีแง่คิด หรือวิธีการทำงานอย่างไรครับ?
คุณเป้า : “สิ่งที่เชื่อเลยก็คืองานต้องตอบโจทย์ โจทย์ในที่นี้พี่แบ่งเป็น 3+1 ข้อ นั่นคือ 1.ต้องตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้ เขาวางไดเร็คชั่นมา เราต้องทำความเข้าใจ และตอบสนองต่อสิ่งนั้นให้สำเร็จ 2.ต้องเคารพงบประมาณ จะไปทำงานแล้วเกินงบของลูกค้าไม่ได้ 3.ต้องอยู่ในเวลา หรือที่เรียกว่า Schedule กลับมามองแบบการตลาด เขากำหนดมาแล้วว่าต้องเปิดตัวช่วงนั้นช่วงนี้ ถ้าเราเป็นคนที่ทำ Schedule เสียเอง ทุกอย่างก็ผิดแผนไปหมด ไม่ใช่แค่เราแต่เป็นลูกค้าที่เสียหาย และที่ +1 มาให้อีกข้อก็คือ ความเป็น Iconic คือการใส่ Artistic ลงไปในงาน 3 ข้อแรก เป็นเรื่องของการ Practice ถ้าทำได้ครบ นั่นคืองานที่ดี แต่ถ้าเราใส่ Artistic ลงไปได้ งานนั้นจะกลายเป็น Iconic ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้เรา Survive อยู่ในตลาดได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าทุก ๆ งานจะสามารถ +1 ข้อสุดท้ายนั้นได้ทั้งหมด ก็เป็นความฝันของทุกคน ถ้าทำได้ ใครก็อยากทำ
![]()
“ถ้าถามว่าทำไมต้องมีความเป็น Iconic นั่นก็เพราะหากเปรียบเทียบกับสถาปนิก เขาสร้าง Iconic ได้ง่ายกว่า เพราะตึก ๆ หนึ่งอยู่ได้นาน แต่อินทีเรียร์ที่จะอยู่ไปได้นาน ๆ พอมีตัวอย่างอยู่เหมือนกันนั่นก็คือ Spice Market ภัตตาคารที่อยู่ในโรงแรม ตอนนี้คือ Anantara Siam Bangkok Hotel โรงแรมนี้เริ่มจาก Pennisula Hotel เปลี่ยนมาหลายรอบ มีการรีโนเวตมาหลายครั้ง แต่สิ่งที่แทบจะไม่เปลี่ยนเลยคือ Spice Market เพราะเขาบอกว่าห้องนี้ห้ามเปลี่ยนเด็ดขาด เหมือนเขาชอบกัน ถ้าย้อนกลับไปคือ ห้องอาหารในสมัยโน้นจะเน้นความหรูหรา แต่เราได้โจทย์มาว่าเป็นร้านอาหารไทย ซึ่งสมัยก่อนนี่ทำร้านอาหารไทยจะออกมาเป็นฝาปะกนแบบไทย ๆ แต่เราเลือกที่จะใช้สตรีทฟู้ด คือนำร้านข้างถนนเข้าไปอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาว ก็เลยเป็นคอนเซ็ปต์ของ Spice Market ตอนแรกที่ได้โจทย์มา เราก็คิดอยู่นานเหมือนกัน นึกถึงเยาวราช เพราะพี่เองก็ชอบไปเดินแถวนั้น มันสวยเท่ ชอบมาก พอมีงานนี้เราก็เลยเลือกที่จะใช้รูปแบบนั้น มีการขึงผ้าใบ มีสายไฟโผล่มา ประตูเหล็กยืด เครี่องชั่งกิโล ใส่บรรยากาศริมถนนเข้ามา ปรากฏว่าเป็นเหมือนรูปแบบใหม่ และยังคงผ่านเวลามาได้จนถึงวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะมันฉีกจากความ “หรู” ที่คนคุ้นชินไปอีกทาง ภูมิใจว่าเราก็ทำ Iconic ให้เขาอยากที่จะเก็บเอาไว้ได้ ซึ่งก็อยู่มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 หรือนับได้เกือบ 37 ปี แล้ว”
![]()
Q. ขอกลับมาที่เรื่อง สมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย หรือ TIDA ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คน อาจยังไม่รู้บทบาทหน้าที่ของสมาคมฯ ในฐานะนายกสมาคมอยากให้พี่เป้าเล่าให้เราฟังทีครับ
คุณเป้า : “สมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย ถ้าพูดให้ชัดก็คือถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนที่จะดูแลมัณฑนากรในประเทศ ดูแลผลประโยชน์ ความรู้ หรือคอนเน็กชั่น เพื่อที่ว่าจะได้พัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้น อย่างตอนนี้เราก็ร่วมกับสภาสถาปนิก เพื่อที่จะผลักดันเรื่องตอบแทนต่าง ๆ แล้วก็พยายามที่จะช่วยเรื่องความรู้ เรามีจัดสัมมนา มีการส่งทีมของสมาคมไปเล็คเชอร์ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อย่างล่าสุดที่เราภูมิใจมาก ๆ คือ Thesis Award ระดับทั่วประเทศ จัดขึ้นเพื่อที่จะยกระดับความรู้แขนงนี้ จากโจทย์ที่ว่าทำไมแต่ก่อนสังคมจะรู้จักแค่มหาวิทยาลัยที่อยู่ในกรุงเทพฯ รู้กันแค่นั้น แล้วต่างจังหวัดจะได้รับโอกาสอย่างไร? วิธีการที่เราค้นพบก็คือต้องทำให้เด็กได้เห็นงานซึ่งกันและกันให้ได้ เราก็ใช้วิธีให้เขาส่งงานเข้ามาจากทั่วประเทศ แล้วใช้วิธีการให้กรรมการเข้ามาคัดเลือกโดย “ปิด” ไม่ให้รู้ว่าส่งมาจากมหาวิทยาลัยไหน แล้วก็ให้คะแนน กรรมการเราก็เลือกจาก สถาปนิก อินทีเรียร์ และภูมิสถาปนิก ซึ่งเหมือนกับเป็นคนนอกจริง ๆ ซึ่งทำให้เรารู้สึกเซอร์ไพร้ส์และยินดีมาก ๆ ที่หลายมหาวิทยาลัยติด Top Ten ในการประกวดเลยทีเดียว แล้วพวกเขาก็ได้เข้ามาพรีเซ้นต์ให้คณะกรรมการฟังอีกรอบหนึ่ง ตอนพรีเซ้นต์เราก็เชิญให้เข้ามาฟังทั้งหมดเลย เพราะในฐานะดีไซเนอร์ก็ต้องขายเป็นด้วย เราก็ทำมาหลายปีแล้ว แล้วปี ๆ หนึ่งก็มีงานเข้ามาหลายประเภท อย่างหนึ่งที่ปรับเปลี่ยนไปคือ เรากำหนดให้มีงานหลัก ๆ อยู่ 2 แบบ คือ 1. Interior Design และ 2 .Spatial Design ไม่ใช่งานการออกแบบตกแต่งอย่างเดียวได้รับการตัดสิน และเมื่อได้ผู้ชนะเราก็จะส่งให้เด็กที่ชนะได้ไปเรียนต่อที่ Milan ต่อยอดไปอีกต่อหนึ่ง
![]()
“ส่วนที่เราพยายามให้มัณฑนากรรุ่นใหม่ ๆได้รับก็คือ ความรู้ และประสบการณ์ที่เราสามารถถ่ายทอดให้กันได้ เรามีความพยายามหาสิ่งที่น่าสนใจให้มัณฑนากรรุ่นใหม่ ๆ มีหลายวิธีเลยที่พยายาม อย่างตอนแรกก็ออกเป็น News Letter ความรู้ หรือจัดสัมมนา จัด Talk บ้าง ล่าสุดเราก็จัด TIDA Club Nightเหมือนเป็นการสังสรรค์ แต่เราก็ Talk กับ Guest กันในปาร์ตี้เลย เราจัด Moderator แล้วก็ตอบกันสด ๆ ไปเลย ถามกันตั้งแต่ไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงปรัชญาในการทำงาน ก็รู้สึกว่าได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็พยายามสอดแทรกลงไปในกิจกรรมต่าง ๆ”
![]()
“สุดท้ายว่าเรามี “สมาคมฯ” กันไปทำไม ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่า การที่วงการมัณฑนากรจะสามารถต่อรอง หรือพูดคุยในภาพที่ใหญ่ขึ้น เช่น การพูดคุยกับรัฐบาล หรือหน่วยงานต่าง ๆ การกำหนดค่าตอบแทนวิชาชีพหรืออะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเป็นใครเป็นตัวแทนแล้วจะไปพูดได้ แต่เราต้องมี “ชื่อ” ต้องมี “สมาชิก” ที่มารวมตัวกันในฐานะผู้ร่วมวิชาชีพ ขอให้ใครก็ตามที่ทำงานอยู่ในวิชาชีพนี้มา “ลงชื่อ” เป็นสมาชิกกันไว้หน่อย เพราะตอนนี้เราก็ยกเลิกค่าสมาชิกไปแล้ว เวลาที่ต้องผลักดันอะไร เช่น กฏหมายต่าง ๆ เราจะได้มีข้อต่อรอง และมีพลังที่เกิดจากทุกคนได้จริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านั้นจะเห็นผลได้ชัดขึ้น”
![]()
Q. TIDA Award หายไปนานถึงสิบปี กลับมาพร้อมกับ 13 สาขารางวัล เกิดอะไรขึ้นกับ TIDA Award ครับ?
คุณเป้า : “ที่หายไปนานถึง 10 ปี ก็ต้องของบอกก่อนว่า การเป็นกรรมการสมาคมเป็นเรื่องที่ไม่เล็กนะ คือก็ต้องใช้พลังอยู่พอตัว แล้ว TIDA Award ก็หนักขึ้นไปอีก ครั้งนี้เรากลับมาก็อยากให้เข้ามาร่วมกัน เราไม่ได้เก็บค่าสมัครด้วย ส่วนหนึ่งเพราะเราไม่ได้ทำมานาน คิดว่าคนอาจจะลืมไปแล้ว เราใช้วิธีให้กรรมการช่วยคัดสรร งานไหนดี ๆ เจ๋ง ๆ ก็ส่งเข้ามา Purpose แล้วทีมงานก็ค่อยตามไปดูว่าเขาสนใจไหมเพื่อจะเชิญให้ส่งงานเข้ามาประกวด และในขณะเดียวกันเราก็เปิดโอกาสให้คนอื่น ๆ สามารถส่งผลงานเข้ามาเองได้โดยตรง ขนาดนั้นแล้วก็ยังคิดว่างานยังไม่พอ ยังไม่ค่อยหลากหลายอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่จากจุดนี้ก็คาดว่าในอีก 2 ปี จะกลับมาอีกครั้งเป็น TIDA Award 2021 คาดว่าจะได้รับการยอมรับและสนใจที่มากขึ้นอย่างแน่นอน
“ทีนี้พอมาเป็น TIDA Award เราทำอะไรได้มากกว่าธีซิสแน่นอน อย่างโรงแรมก็มีอะไรเกี่ยวกับการตกแต่งที่ทำได้มากกว่า Coffee Shop แต่เราก็ไม่ได้โฟกัสที่โครงการใหญ่ ๆ เพียงเท่านั้น อย่าง Coffee Shop เราก็นั่งคิดกันอยู่นานว่า ประเภทรางวัลที่จะให้ควรเป็นคำว่า Creative Eatery น่าจะเหมาะ เพราะครอบคลุมในสิ่งที่เราอยากจะให้รางวัล Fine Dinning หรือบาร์ ขายขนมก็ยังได้ เป็นสิ่งที่เริ่มน่าสนใจขึ้น นอกจากนั้นยังมีสายที่เป็น Education อย่าง ห้องสมุดตามมหาวิทยาลัย และอีกหลาย ๆ ประเภทที่ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงแรม หรือภัตตาคารอย่างเดียว สาขารางวัลมีความหลากหลายขึ้น อละเป็นตัวอย่างที่ดีในหลายรูปแบบมากขึ้น”
“พอ Covid -19 โผล่มา เรื่องที่เปลี่ยนไปอีกอย่างคือ “เสน่ห์” ที่โรงแรมเคยเป็นมันเป็น “ประสบการณ์” ที่เปลี่ยนไปหมดหรือเปล่า อย่างการลงมานั่งเล่นสบาย ๆ ในโถง หรือชานระเบียงสวย ๆ การทานอาหารเช้าที่คนลงมาเป็นหลายร้อยคนนั่งทานกันในโถงใหญ่ ก็เปลี่ยนวิธีไปเพื่อป้องกัน หรืออย่างการไปเข้าพักแล้วไม่เจอใครเลย ก็ไม่ใช่เสน่ห์ของการพักโรงแรมที่เราคุ้นเคย”
Q. หรือ TIDA อยากให้คนเข้าถึงงานต่าง ๆ เหล่านั้นง่ายขึ้นด้วยหรือเปล่าครับ?
คุณเป้า : “ถ้าพูดตรง ๆ นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ แต่เป็นผลพลอยได้ จุดประสงค์จริง ๆ ของการขยายสาขารางวัลก็คือ การที่เราอยากจะ “สนับสนุน” ให้กับผู้ออกแบบ ไม่ว่าสิ่งที่เขาทำจะคืออะไร เรามี Categories ให้กับทุกประเภทของงาน เพราะหวังว่าในอนาคต ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็อยากให้เขามีเป้าหมาย ประเภทผลงานของเขาจะได้รับการพูดถึงมากขึ้น มีรางวัลให้กับเขา ในทางกลับกันพอประเภทของรางวัลมีเยอะขึ้น ความหลากหลายของงานที่จะเข้ามา ความน่าสนใจก็จะมากขึ้นตามไปด้วย นั่นคือสิ่งที่เราตั้งใจ เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริง”
Q. Covid-19 มีผลต่อวงการมัณฑนากรอย่างไรบ้างหรือไม่ครับ?
คุณเป้า : “เรื่องนี้มีผลกระทบกับเรื่องโครงการเยอะ มีการหยุดไปก่อน คือแน่นอนมันส่งผลกระทบทันทีทั้งวงการ และที่ตื่นเต้นเร้าใจก็คือไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบเมื่อไหร่ ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องโรงแรม ก็คือ Income ก้อนนี้เป็นก้อนที่ใหญ่มาก มีปัญหาแน่นอน แล้วโครงการที่กำลังทำก็ได้รับผลกระทบสืบต่อมาแน่นอน เป็นผลแรกเลยที่รู้สึก เราจึงคิดกันว่าต้องเตรียมตัว แต่ก็เตรียมตัวไปแบบไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่
“สำหรับการทำงานพอโควิดมา กระทบกับวิธีทำงานด้วยเช่นกัน การ Work from Home การประชุมก็เปลี่ยนวิธีกันไป การตรวจไซต์เรายังมีการถือกล้องวิดีโอเดินตรวจแล้วส่งภาพมาที่ออฟฟิศ โดยไม่ได้เข้าไปในพื้นที่บ้างเหมือนกัน มีวิธีการใหม่ ๆ ขึ้นมารองรับ ต้องหาวิธีขึ้นมาเลยว่าจะทำงานให้ลงตัวได้อย่างไร เป็นการบริหารสมองอยู่เหมือนกัน
“เรื่องที่เปลี่ยนไปอีกอย่างคือ เสน่ห์ ที่โรงแรมเคยเป็น “ประสบการณ์” ที่แขกจะได้รับเมื่อเข้ามาพักผ่อนมันจะเปลี่ยนไปหมดหรือเปล่า กลายเป็นเรื่องที่ “กลัวโควิด” มากไปหรือเปล่า อย่างการลงมานั่งเล่นสบาย ๆ ในโถง หรือชานระเบียงสวย ๆ การทานอาหารเช้าที่คนลงมาเป็นหลายร้อยคนนั่งทานกันในโถงใหญ่ ก็เปลี่ยนวิธีไปเพื่อเป็นการป้องกัน หรืออย่างการไปเข้าพักแล้ว ไม่เจอใครเลย ก็ไม่ใช่เสน่ห์ของการพักโรงแรมที่เราคุ้นเคย เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยังไม่ชัด แต่ที่แน่ ๆ คือเปลี่ยนไปแน่นอน และหลังจากยุคนี้ก็อาจจะมีเรื่องอื่นเข้ามาอีก คือโควิดมันไม่ได้กระทบแค่การออกแบบ แต่กระทบไปถึงการใช้ชีวิตกันเลยทีเดียว”
Q. คำถามสุดท้าย สำหรับมุมมองวิชาชีพ ในส่วนตัวของพี่เป้าเอง กับสิ่งที่ TIDA อยากผลักดันต่อไปในอนาคตเรามีแนวทางอย่างไรบ้างครับ?
คุณเป้า : “ถ้าถามว่าในภาพอันใกล้อยากผลักดันอะไรที่สุด ก็คงเป็นเรื่องของ Mind Set สิ่งที่พี่อยากเห็นคือ Mind Set ที่ว่ามัณฑนากรของเราสามารถทำงานนอกเมืองไทยได้ด้วย คือไปทำงานที่ไหนก็ได้ และสิ่งที่ต้องพัฒนาก็น่าจะเป็นเรื่องภาษา กับการมองตัวเองว่าจริง ๆ เราก็เป็นประชากรของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน หรือยุโรป เราไปทำงานได้หมดเลย เพื่อที่จะขยายฐาน ทั้งการทำมาหากิน และในแง่ของการพัฒนาการออกแบบจากหลาย ๆ แนวคิดอีกด้วย
“คนไทยเก่งนะ มีความเป็น Artistic ที่ดีอยู่แล้ว ไม่ได้บอกว่าให้นำความเป็นไทยออกไปนะ แต่อยากให้ออกไปนอกรั้วบ้านเราบ้างจะดีมาก มันจะมีช่องทางอีกมากมายในความเป็นไปได้ที่เปิดรับ
“แล้วอยากให้มหาวิทยาลัย หรือสถาบันสอนด้าน Marketing หรือเรื่องที่รอบตัวมากกว่านี้ ทำเรื่องที่เกี่ยวกับ Branding ได้ด้วย ถ้าเพิ่มตรงนี้ จะทำให้เวลาคุยกับลูกค้า เราสามารถ Advice กับเขาได้
“แต่สุดท้ายก็ไม่แน่ใจว่าความหลากหลาย หรือการลงลึกไปในวิชาชีพนั้น แนวทางใดเป็นแนวทางที่ถูกต้องมากกว่ากัน ก็คงต้องให้ตัวผู้ประกอบวิชาชีพเก็บไปคิดดู แต่อย่างน้อยก็ควรจะ Flexible มากขึ้น เพื่อเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบในอนาคต เหมือนที่เราเจอกับ Covid-19 ในปีนี้นั่นเอง”
![]()
และนี่ก็คืออีกหนึ่งเรื่องราวดี ๆ จากประสบการณ์กว่า 40 ปี ของพี่เป้า หรือคุณวิภาวดี พัฒนพงศ์พิบูล ช่วยให้เราเห็นภาพวงการมัณฑนากร รวมถึงบทบาทและการส่งเสริมวิชาชีพนี้โดย TIDA มากยิ่งขึ้น
เรื่อง : Wuthikorn Sut
ภาพ : สิทธิศักดิ์ น้ำคำ
The post A Conversation with TIDA สนทนากับคุณ วิภาวดี พัฒนพงศ์พิบูล appeared first on บ้านและสวน.